การปฏิบัติที่ดีสำหรับโรงสีข้าวและโรงปรับปรุงสภาพข้าว (มกษ. 4403-2564)
การปฏิบัติที่ดีสำหรับโรงสีข้าวและโรงปรับปรุงสภาพข้าว (มกษ. 4403-2564) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า GMP สำหรับโรงสีข้าว เป็นมาตรฐานที่จัดทำขึ้นโดยสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้โรงสีข้าวและโรงงานปรับปรุงสภาพข้าวดำเนินการอย่างถูกสุขลักษณะ ปลอดภัย และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สาระสำคัญของ มกษ. 4403-2564 ประกอบด้วย 6 ข้อหลัก ได้แก่
1. สถานที่ตั้งและอาคารการผลิต
- อยู่ในพื้นที่ที่ไม่เสี่ยงต่อการปนเปื้อน เช่น ไม่อยู่ใกล้แหล่งน้ำเสีย แหล่งขยะ หรือโรงงานอุตสาหกรรมที่อาจปล่อยสารเคมี
- มีการแยกพื้นที่รับวัตถุดิบ ผลิต และจัดเก็บผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน
- มีทางเข้าออกที่เหมาะสม รถสามารถเข้า-ออกได้สะดวก
2. เครื่องจักรและอุปกรณ์
- ทำจากวัสดุที่ไม่เป็นอันตรายต่ออาหาร
- ต้องสามารถทำความสะอาดได้ง่าย และอยู่ในสภาพดี พร้อมใช้งาน
3. การควบคลุมกระบวนการผลิต
- มีขั้นตอนการรับเมล็ดข้าว การแปรรูป และการจัดเก็บที่ปลอดภัย
- ป้องกันการปนเปื้อนทั้งทางเคมี ชีวภาพ และกายภาพ
4. การบำรุงรักษาและการทำความสะอาด
- มีแผนและบันทึกการทำความสะอาดอาคารและเครื่องมือ
- ป้องกันและควบคุมสัตว์พาหะและแมลง
5. สุขลักษณะของบุคลากร
- มีห้องน้ำ และจุดล้างมือที่สะอาดเพียงพอ
- พนักงานต้องมีสุขลักษณะที่ดีและผ่านการอบรม
- สวมชุดที่สะอาด สวมหมวก และรองเท้าให้เหมาะสม
6.
การบันทึกข้อมูลและการตรวจสอบย้อนกลับ
- มีการจัดเก็บบันทึกต่าง ๆ เช่น การรับวัตถุดิบ การผลิต และการจัดจำหน่าย
- สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของข้าวได้
7. อาคารและโครงสร้าง
- อาคารแข็งแรง ปลอดภัย ป้องกันฝุ่น แมลง และสัตว์พาหะ
- แบ่งโซนชัดเจน เช่น โซนรับวัตถุดิบ โม่แปรรูป คัดแยก และเก็บรักษา
- มีการระบายอากาศที่ดี แสงสว่างเพียงพอ และสะอาดเรียบร้อย
8. การควบคุมแมลงและสัตว์พาหะ
- มีระบบป้องกันและกำจัดแมลง เช่น มุ้งลวดกับพัดลมดันอากาศ (Air Curtain)
- ไม่มีรอยรั่วหรือช่องโหว่ที่สัตว์สามารถเข้ามาได้
ประโยชน์ที่สำคัญของการทำ มกษ. 4403-2564
1. เพิ่มความปลอดภัยของข้าว
- ควบคุมกระบวนการผลิตให้ถูกสุขลักษณะ ลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อน
(สารเคมี สารพิษตกค้าง เชื้อรา ฯลฯ)
- สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคในเรื่องความปลอดภัยของอาหาร
2. ยกระดับคุณภาพข้าว
- ช่วยให้ได้ข้าวที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ สีสวย ความชื้นเหมาะสม ไม่มีสิ่งเจือปน
- ทำให้สามารถตั้งราคาสูงขึ้น และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
3. เพิ่มความน่าเชื่อถือของกิจการ
- ได้รับการยอมรับจากคู่ค้า โรงงานแปรรูป หรือผู้ส่งออก
- ส่งเสริมภาพลักษณ์ขององค์กรว่าใส่ใจในมาตรฐานและความปลอดภัย
4. สนับสนุนการส่งออก
- เป็นพื้นฐานในการยกระดับไปสู่มาตรฐานสากล เช่น ISO 22000, HACCP หรือ
GMP ระดับสาก
- ผู้ซื้อจากต่างประเทศมักกำหนดให้โรงสีมีระบบควบคุมคุณภาพที่ตรวจสอบได้
5. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
- กระบวนการต่าง ๆ เป็นระบบ ชัดเจน ตรวจสอบได้ง่าย
- ลดความสูญเสียในกระบวนการผลิต เช่น การสูญเสียเมล็ดข้าวหรือเสียเวลาจาก
เครื่องจักรชำรุด
6. ควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น
- การจัดการที่เป็นระบบช่วยลดต้นทุนซ่อนเร้น เช่น ค่าบำรุงรักษาเครื่องจักร
หรือของเสียจากการผลิต
- ทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
7. เป็นพื้นฐานสู่มาตรฐานอื่น
มกษ. 4403-2564 เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเข้าสู่มาตรฐานที่สูงกว่า เช่น BRC, ISO, HACCP ฯลฯ
สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่:
https://drive.google.com/file/d/1c-8Qs6-Mb-3AT2PulTaVetWSl360mYzG/view