หลักปฏิบัติสำหรับการผลิตสินค้าเกษตรแช่เยือกแข็ง มกษ.9041-2557 (code of practice for the manufacturing of frozen agricultural commodities
การควบคุมอุณหภูมิในการผลิต การเก็บรักษาและการขนส่งสินค้าเกษตรแซ่เยือกแข็ง เป็นหลักสำคัญในการดำเนินการให้ผลิตภัณฑ์ปลอดภัยและมีคุณภาพ คณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรจึงเห็นสมควรจัดทำ มาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่อง หลักปฏิบัติสำหรับการผลิตสินค้าเกษตรแซ่เยือกแข็ง เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องในการผลิต การเก็บรักษาและการขนส่งสินค้าเกษตรแช่เยือกแข็ง ซึ่งเป็นสินค้าที่ทำรายได้ไห้กับประเทศไทย
มาตรฐานสินค้าเกษตรนี้ กำหนดหลักปฏิบัติสำหรับการผลิตสินค้าเกษตรแซ่เยือกแข็งประเภท
- เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ไข่
- สัตว์น้ำ
- ผักผลไม้
สาระสำคัญของ มกษ. 9041-2557 ประกอบด้วย
1. ข้อกำหนดทั่วไป
เช่น สุขลักษณะของสถานที่ผลิต การควบคุมอุณหภูมิ และการจัดการสิ่งแวดล้อม
2. กระบวนการผลิตที่เหมาะสม
ตั้งแต่การรับวัตถุดิบ การล้าง การเตรียม การแช่เยือกแข็ง การบรรจุ ไปจนถึงการเก็บรักษาและ ขนส่ง
3. การควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร
มีแนวทางในการควบคุมความสะอาด ป้องกันการปนเปื้อนทางกายภาพ เคมี และจุลินทรีย์
4. การจัดการด้านเอกสารและการตรวจสอบย้อนกลับ
เพื่อให้สามารถตรวจสอบกระบวนการผลิตย้อนหลังได้เมื่อเกิดปัญหา
5. สุขอนามัยของผู้ปฏิบัติงาน
เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์
ตัวอย่างสินค้าเกษตรแช่เยือกแข็งที่เกี่ยวข้อง
- ผักและผลไม้แช่เยือกแข็ง
- สินค้าประมงแช่เยือกแข็ง (หากใช้ร่วมกับ มกษ. อื่น)
- เห็ดแช่เยือกแข็ง ฯลฯ
จุดประสงค์หลักของมาตรฐานนี้
1. เพื่อเป็นแนวทางแก่ผู้ประกอบการในการผลิตสินค้าที่ปลอดภัย
2. ส่งเสริมการปฏิบัติที่ดีตามมาตรฐานสากล
3. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรไทยในตลาดโลก
ประโยชน์ของการทำระบบมาตรฐาน มกษ. 9041-2557
1. เพิ่มความปลอดภัยของอาหาร
- ช่วยควบคุมความสะอาด ลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ สารเคมี และสิ่งแปลก ปลอม
- ป้องกันไม่ให้สินค้าที่ไม่ปลอดภัยออกสู่ผู้บริโภค
2. ยกระดับคุณภาพกระบวนการผลิต
- กำหนดแนวทางที่ชัดเจนตั้งแต่รับวัตถุดิบ การผลิต การแช่เยือกแข็ง การบรรจุ ไปจนถึงการขนส่ง
- ลดความผิดพลาดและของเสียในสายการผลิต
3. สร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า
- ลูกค้าในประเทศและต่างประเทศเชื่อมั่นในคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า
- ช่วยสร้างแบรนด์และภาพลักษณ์ขององค์กร
4. เพิ่มโอกาสทางการตลาดและการส่งออก
- เป็นจุดแข็งเมื่อต้องยื่นขอใบรับรองระบบคุณภาพอื่น ๆ เช่น GMP, HACCP, ISO 22000
- สอดคล้องกับข้อกำหนดของประเทศผู้นำเข้า ทำให้ผ่านการตรวจประเมินง่ายขึ้น
5. ส่งเสริมให้พนักงานมีระเบียบวินัยในการทำงาน
- มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ส่งผลให้การทำงานมีระบบมากขึ้น
- ลดความเสี่ยงจากพฤติกรรมที่อาจนำไปสู่การปนเปื้อนในอาหาร
6. สนับสนุนการตรวจสอบย้อนหลังและแก้ไขปัญหา
- มีระบบเอกสารและการเก็บบันทึกที่ดี ช่วยให้สามารถติดตามสาเหตุของปัญหาและแก้ไขได้ทัน ท่วงที
7. ลดต้นทุนในระยะยาว
- ลดการสูญเสียจากสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ
- ลดโอกาสถูกเรียกคืนสินค้า (product recall) ซึ่งมีต้นทุนสูง
อ้างอิงและสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
https://acfs-backend.acfs.go.th/storage/ProductStandards/Files//20190610024504_715866.pdf